ผลต่างระหว่างรุ่นของ "Psl/stl intro"
Jittat (คุย | มีส่วนร่วม) |
Jittat (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
แถว 209: | แถว 209: | ||
== ตัวอย่าง container อื่น ๆ ที่นิยมใช้ == | == ตัวอย่าง container อื่น ๆ ที่นิยมใช้ == | ||
− | + | : จะมาเพิ่มทีหลัง ตอนนี้ดูที่ [[Psl/stl|ตัวอย่างจากหน้านี้ก่อน]] | |
− | |||
− | |||
== algorithm มาตรฐาน == | == algorithm มาตรฐาน == | ||
* [[Psl/sort|ตัวอย่างการใช้ sort]] | * [[Psl/sort|ตัวอย่างการใช้ sort]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:08, 11 กุมภาพันธ์ 2561
- หน้านี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา Problem solving lab
หน้านี้จะอธิบายการใช้งาน Standard Template Library แบบคร่าว ๆ ไลบรารีดังกล่าวจะประกอบไปด้วยโครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึมพื้นฐาน รวมไปถึงฟังก์ชันเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
ด้านล่างเป็นลิงก์สำหรับอ่านรายละเอียดและใช้อ้างอิงเกี่ยวกับ STL
เนื้อหา
แรงบันดาลใจของรูปแบบ container และ iterator
การออกแบบ "interface" หรือรูปแบบการใช้งานของ STL พยายามจะล้อกับการใช้งาน array โดยผ่านทาง pointer ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ประจำในภาษา C (นิยมเรียกว่า iterator pattern) พิจารณาตัวอย่างเปรียบเทียบด้านล่าง
ด้านล่างเป็นโค้ดที่ใช้ array
int a[100];
int x = 0;
int* i = a;
while(i != (a+100)) {
*i = x;
cout << *i;
i++;
}
ลองเปรียบเทียบกับโค้ดที่ใช้ vector
vector<int> a(100);
int x = 0;
vector<int>::iterator i = a.begin();
while(i != a.end()) {
*i = x;
cout << *i;
i++;
}
ความแตกต่างในการใช้งานมีแค่การเรียก a.begin() กับ a (แทนตัวชี้ไปยังข้อมูลตัวแรก) และ a.end() แทน a+100 (แทนตัวชี้ไปยังข้อมูลที่ เลย ตัวสุดท้ายไปหนึ่งตำแหน่ง)
เรานิยมเรียกโครงสร้างข้อมูลว่า container ส่วนตัวแปร i ที่มี type เป็น vector<int>::iterator นั้นจะเรียกว่า iterator หรือตัววิ่งนั่นเอง
เราจะแนะนำการใช้งาน template เล็กน้อย จากนั้นในส่วนถัด ๆ ไปเราจะพิจารณาการใช้งาน container และ iterator
Template
ในภาษา C++ เรามีวิธีการเขียนอัลกอริทึมและโครงสร้างข้อมูลให้ทำงานได้กับข้อมูลหลายรูปแบบ (เรียกรวม ๆ ว่า generic programming) โดยการเขียนเป็น template โดยโค้ดของ template จะถูกแปลงเป็นโค้ดจริง ๆ เมื่อมีการเรียกใช้งาน
ยกตัวอย่างเช่น ฟังก์ชัน sum ด้านล่างเขียนให้ใช้ได้กับข้อมูลประเภทอะไรก็ได้ (ที่เมื่อแทนเข้าไปใน T แล้วคอมไพล์ผ่าน)
template <class T>
T sum(T a, T b)
{
return a + b;
}
main()
{
cout << sum(10,20) << endl;
cout << sum(10.5,20.4) << endl;
}
หรือด้านล่างเป็นการประกาศ ListNode<T> ให้ใช้กับข้อมูลประเภทอะไรก็ได้
template <class T>
struct ListNode {
T val;
ListNode<T>* next;
};
ในการใช้งาน STL นั้น เราไม่จำเป็นต้องเขียน template เป็นก็ได้ ขอให้ทราบไว้ว่าชื่อ type ในวงเล็บ < > ท้ายชื่อ container คือชนิดข้อมูลที่ต้องการเก็บหรือชนิดข้อมูลที่ใช้เป็นกุญแจเท่านั้นก็เพียงพอ
หมายเหตุ: โดยทั่วไปแล้ว STL จะใช้ข้อมูลที่เป็น value type ในการเก็บเป็นหลัก ถ้าเราใช้ pointer อาจจะทำงานผิดพลาดได้ ต้องพิจารณาให้ดี
การใช้งานพื้นฐาน: container และ iterator
ในการใช้งานโครงสร้างข้อมูลใน STL เราจะต้องเลือก container ให้เหมาะสมกับงาน เพราะประสิทธิภาพในการทำงานและความสามารถก็จะแตกต่างกัน โครงสร้างข้อมูลเหล่านี้รองรับการเพิ่มข้อมูล ค้นหาข้อมูล และลบข้อมูลตามมาตรฐานทั่วไป ในที่นี้เราไม่ได้แสดงทุกฟังก์ชันที่เป็นไปได้แต่ผู้อ่านสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้จากเว็บอ้างอิง
โดยทั่วไปถ้าต้องการเก็บรายการที่ไม่ได้มีการสลับสับเปลี่ยนมาก เรานิยมใช้ vector เพราะว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่ม (random access) ได้เช่นเดียวกับอาร์เรย์ (และมีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน) เราอาจจะคิดว่า vector เป็น array ที่สามารถสร้างได้โดยไม่ต้องระบุขนาดก็ได้ ในการแนะนำพื้นฐานนี้เราจะเริ่มจาก vector จากนั้นจะแนะนำ list ต่อไป
การประกาศและการเพิ่มข้อมูลเข้าที่ท้าย vector
- เอกสารอ้างอิง vector cplusplus ref
จะใช้ vector อย่าลืม include header (เราใส่ using namespace std ไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นต้องเรียก std::vector ตลอด)
#include <vector>
using namespace std;
เราสามารถประกาศตัวแปร a ที่เป็น vector ของ int ที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยได้ดังด้านล่าง
vector<int> a;
container แต่ละชนิดจะมีวิธีเพิ่มข้อมูลแตกต่างกัน สำหรับ vector นั้น เราสามารถเพิ่มข้อมูลเข้าไปที่ท้ายของ vector โดยสั่ง push_back ด้านล่างใส่ข้อมูล 0 - 99 ลงใน vector
for(int x=0; x<100; x++) {
a.push_back(x);
}
เนื่องจาก vector สามารถใช้งานได้เหมือน array เราจึงสั่งเช่นด้านล่าง เพื่อพิมพ์ข้อมูลใน a ได้
cout << a[0] << a[20] << endl;
การใช้ iterator
ปกติถ้าเราต้องการวิ่งจากต้น container ไปยังท้าย container เราจะใช้ iterator begin() และ end() โดย begin จะระบุตำแหน่งข้อมูลตัวแรก ส่วน end จะระบุตำแหน่งที่ถัดจากข้อมูลตัวสุดท้าย (ไม่ใช่ข้อมูลตัวสุดท้าย) ดังแสดงในรูปด้านล่าง
สมมติว่า a มีข้อมูล 5 ตัว (a[0] - a[4])
a: [ 0 ][ 1 ][ 2 ][ 3 ][ 4 ][ ? ] ^ ^ | \--- end \--- begin
ดังนั้นโค้ดทั่วไปในการวิ่งไปใน vector จะเป็นดังนี้
while loop:
vector<int>::iterator i = a.begin();
while(i != a.end()) {
// ... do something
i++;
}
for loop:
for(vector<int>::iterator i = a.begin(); i != a.end(); i++) {
// ... do something
}
ถ้าเราใช้ C++11 (รุ่นเกือบใหม่) เราสามารถใช้ automatic type inference ได้ โดยแทนที่จะเขียน type ยาว ๆ เราจะใส่ว่า auto ดังด้านล่าง
for(auto i = a.begin(); i != a.end(); i++) {
// ... do something
}
ตัวอย่างโค้ดที่หาข้อมูล y ในเวกเตอร์ a แสดงด้านล่าง
for(auto i = a.begin(); i != a.end(); i++) {
if(*i == y) {
cout << "found it!" << endl;
break;
}
}
นอกจากจะใช้ iterator ในการวิ่งในโครงสร้างข้อมูลแล้ว เราจะใช้ iterator ในการอ้างถึงข้อมูลในกรณีอื่น ๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ฟังก์ชันที่ค้นหาข้อมูลในโครงสร้างข้อมูลก็มักจะคืน iterator ให้เราเพื่อให้เราจัดการ หรือถ้าเราต้องการลบข้อมูลในรายการ เราสามารถระบุ iterator ได้
begin และ end เป็น iterator ที่วิ่งไปด้านหน้า (forward) ในกรณีของ vector เรายังมี rbegin และ rend ถ้าเราต้องการวิ่งถอยหลังด้วย
รายการ (list)
- อ่านเอกสารอ้างอิง ที่เว็บ cpluscplus ref
ในกรณีที่เราต้องการแทรกข้อมูลในรายการบ่อย ๆ เรานิยมใช้ list ใน STL โครงสร้างข้อมูล list จะเป็น doubly-linked list ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกมาก (เราสามารถลดค่า iterator ด้วย operator -- เพื่อวิ่งย้อนหลังได้)
ด้านล่างเป็นตัวอย่างการเขียน โปรแกรมจะสุ่มเลขและเพิ่มใน list out ด้วยวิธีแบบเดียวกับ insertion sort
#include <iostream>
#include <list>
using namespace std;
main()
{
list<int> out;
for(int i = 0; i < 100; i++) {
int x = rand(); // pick a random number
// DON'T do this in real code, without using srand
// หาตำแหน่งที่จะเพิ่ม (วิ่งไปในรายการจนกว่าจะเจอข้อมูลที่มากกว่าหรือเท่ากับ x
auto li = out.begin();
while((li != out.end()) && (*li < x)) {
li++;
}
// เพิ่ม x ในรายการ **ด้านหน้า** li
out.insert(li, x);
}
// พิมพ์ผลลัพธ์
for(auto li = out.begin(); li != out.end(); li++) {
cout << *li << endl;
}
}
นอกจากฟังก์ชัน insert แล้ว list ยังรองรับ push_front, push_back, pop_front, pop_back อีกด้วย
ถ้าต้องการลบใช้ erase (ดูรายละเอียดใน reference)
ตัวอย่าง container อื่น ๆ ที่นิยมใช้
- จะมาเพิ่มทีหลัง ตอนนี้ดูที่ ตัวอย่างจากหน้านี้ก่อน