01204435/javascript
หน้านี้เป็นการทดลอง javascript และ node.js ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชา 01204435
เอกสารอ้างอิงประกอบการทำแลบสามารถเอกสารจาก หน้า JavaScript ของ Mozilla Developer Network ได้ โดยอาจจะดูในส่วนของ JavaScript Guide
เนื้อหา
javascript: การทดลองเกี่ยวกับ scope
scope ใน block และใน function
พิจารณาโปรแกรม 3 โปรแกรมต่อไปนี้
a = 10; { var a = 20; // *** console.log(a); } console.log(a);
a = 10; function f() { var a = 20; // *** console.log(a); }; f(); console.log(a);
a = 10; function f() { a = 20; // *** console.log(a); }; f(); console.log(a);
อธิบายความแตกต่าง อธิบายว่าตัวแปร a ในบรรทัด *** ของแต่ละโปรแกรมหมายถึงตัวแปรตัวใด และเพราะเหตุใด
ทดลองขอบเขตเพิ่มเติม 1
พิจารณาโปรแกรมต่อไปนี้ ผลลัพธ์ของโปรแกรมจะเป็นเช่นใด? ทำไม?
var x = 20; for(var x = 0; x < 5; x++) { console.log(x); } console.log(x);
ทดลองแก้โปรแกรม (พยายามแก้ให้น้อยที่สุด) เพื่อทำให้ตัวแปร x ในลูป for กับ x ภายนอกเป็นคนละตัวแปรกัน (นั่นคือบรรทัดสุดท้ายของผลลัพธ์ควรจะมีค่า 20)
ตำแหน่งในการประกาศ
ในการทดลองต่อไป ให้สร้างไฟล์นามสกุล js และเรียกให้ทำงานจาก command line (ไม่ใช่ทยอยป้อนใน javascript console)
พิจารณาโปรแกรมสามโปรแกรมต่อไปนี้
var a = x; console.log(a); var x = 10; console.log(x);
var a = x; console.log(a); var x = 10; console.log(x); var a = x; console.log(a); var x = 20; var a = x; console.log(a);
var a = x; console.log(a);
จากผลการทดลอง ให้อธิบายขอบเขตของตัวแปร x ในสองตัวอย่างแรก
javascript: functions
การประกาศ (และปัญหาที่ค้างคาใจ)
ใน javascript มีวิธีการประกาศ function ได้หลายแบบ สองรูปแบบหลัก ๆ ที่เห็นมีดังตัวอย่างด้านล่าง แบบแรกคือประกาศฟังก์ชัน a เลย
function a() { return 10; }
และอีกแบบคือการประกาศฟังก์ชัน โดยไม่ระบุชื่อ จากนั้นค่อยนำไปกำหนดค่าให้กับตัวแปรที่แทนฟังก์ชันนั้น
var b = function() { return 20; };
ในการใช้งานทั่วไป เราจะไม่ค่อยพบความแตกต่างมาก แต่ให้พิจารณาตัวอย่างอันน่าแปลกด้านล่างนี้
var f = function() { var a = g(); function g() { return 10; } function g() { return 20; } return a; }; console.log(f());
var f = function() { function g() { return 10; } var a = g(); function g() { return 20; } return a; }; console.log(f());
var f = function() { var g = function(){ return 10; }; var a = g(); function g() { return 20; } return a; }; console.log(f());
ในส่วนนี้ให้อ่านเอกสาร Functions and function scope ประกอบ
จากเอกสารข้างต้น ลองพยายามหาเหตุผลว่าทำไมผลที่ได้จึงเป็นตามที่เราทดลอง
higher-order functions 1
ใน JavaScript นั้น function เป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง นอกจากนี้ การที่เราสามารถประกาศฟังก์ชันโดยไม่ระบุชื่อได้ด้วย ทำให้เราเขียนฟังก์ชันที่คืนฟังกชั่นได้ง่าย เช่น
function double(f) { return function(x) { return 2*f(x); }; }
พิจารณาการเรียกใช้เช่น
g = double(function(y) { return y*10; }); console.log(g(10));
x = double(function(a) { return a/5; })(30); console.log(x);
ให้เขียนฟังก์ชัน tower ที่รับฟังก์ชัน f จากนั้นคือฟังก์ชันที่รับ x และ y และคืนจำนวนครั้งที่จะต้องเรียกฟังก์ชัน f ซ้อนกันกี่ครั้งโดยเริ่มจาก x จนผลลัพธ์มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ y
ยกตัวอย่างเช่น ถ้า f เป็นฟังก์ชัน:
var f = function(x) { return x+2; }
แล้ว tower(f)(1,10) จะมีค่า 5, tower(f)(1,9) จะมีค่า 4 (เพราะว่า ((((1+2)+2)+2)+2) เท่ากับ 9)
หรือถ้า f เป็นฟังก์ชัน
var f = function(x) { return 2*x; }
แล้ว tower(f)(1,9) มีค่า 4 และ tower(f)(1,200) มีค่า 8
higher-order functions 2
พิจารณาโปรแกรมต่อไปนี้
var z = 1; if(a < b) z++; else z*=10;
ถ้าเราต้องการเขียนฟังก์ชันที่ทำงานเหมือน statement if นั้น ถ้าเราเขียนแบบตรง ๆ ดังนี้
function myif(condition,yesresult,noresult) { if(condition) return yesresult; else return noresult;
ในการเรียกใช้ ถ้าโค้ดเรามี side-effect เช่นตัวอย่างข้างต้น ผลที่ได้จะไม่เหมือนกับการสั่งคำสั่ง if ตรง ๆ เช่นลองพิจารณาการเรียกด้านล่าง
myif(a<b,z++,z*=10);
อย่างไรก็ตามในภาษาที่ส่งฟังก์ชั่นได้ เราสามารถเขียนฟังก์ชันที่ทำงานในรูปแบบเดียวกับฟังก์ชัน if ข้างต้นได้ ลองเขียนฟังก์ชัน myif และแสดงวิธีการเรียกใช้ให้ผลลัพธ์เหมือนกับโปรแกรมตั้งต้นที่เขียนด้วย if statement
closures 0
พิจารณาโปรแกรมด้านล่างนี้
function counter() { var c = 0; return function() { c++; return c; }; } a = counter(); b = counter(); console.log(a()); console.log(a()); console.log(b()); console.log(a());
อธิบายการทำงานของโปรแกรมดังกล่าว
javascript: objects
ในส่วนนี้ให้อ่าน Working with objects และ Details of the object model ประกอบได้
Objects, properties, และ methods
ใน JavaScript นั้น object ก็คือ associative array นี่เอง
o1 = {a:10, b:20}; o2 = new Object(); o2['a'] = 20; o2.b = 20; console.log(o1); console.log(o2);
method ก็คือฟังก์ชันที่เป็น property ของ object
พิจารณาตัวอย่างด้านล่าง
var g = function() { console.log(this.a); }; o1.printA = g; o1.printA();
เราสามารถกำหนดค่า method ให้กับ object อื่นได้ด้วย เช่น
o2.a = 100; o2.pp = o1.printA; o2.pp();
สังเกตว่าฟังก์ชัน g ถูกเรียกเมื่อเราเรียก o1.printA และ o2.pp ในการเรียกดังกล่าว this หมายถึงอะไร?
ให้เรียก
g();
ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร? ถ้าเราต้องการให้ผลลัพธ์เท่ากับ 1000000 จะต้องทำอย่างไร? ในกรณีนี้ this ในฟังก์ชัน g หมายถึงอะไร?
prototypes 1
ทดลองโปรแกรมต่อไปนี้ โดยพิมพ์ทีละบรรทัดและสังเกต
x = {a:10, b:10} x.f(); y = {f:function() { return 10; }} x.__proto__ = y; x.f(); x.g(); z = {g:function() { return this.a + 10; }}; y.__proto__ = z; x.g();
อธิบายบทบาทของ property __proto__
prototypes 2
เรามีอีกวิธีในการสร้าง object โดยใช้ operator new พิจารณาฟังก์ชันต่อไปนี้
function Car(speed, color) { this.speed = speed; this.color = color; this.run = function() { console.log('Running at '+this.speed); }; }
ในการสร้าง object ด้วยฟังก์ชันดังกล่าว เราจะเรียก
var c1 = new Car(120,'white'); var c2 = new Car(140,'green');
ฟังก์ชัน Car จะเรียกว่า constructor และเรานิยมขึ้นต้นชื่อฟังก์ชันด้วยตัวพิมพ์ใหญ่
ลองเรียก c1 หรือ c2 ใน console แล้วเรียก
c1.run();
พิจารณาฟังก์ชันต่อไปนี้
function SuperCar(color) { this.color = color; this.speed = 180; }
ทดลองสัง (ทีละบรรทัด ใน console)
var s1 = new SuperCar('black'); s1.speed s1.color s1.run();
ทำไมเกิด error
สั่งต่อ
SuperCar.prototype = new Car; var s2 = new SuperCar('blue'); s2.speed; s2.run();
คาดว่าอะไรจะอยู่ใน s2.__proto__ ?
ทดลองต่อ
function TurtleCar(color) { this.color = color; } TurtleCar.prototype = new Car(1,'Invisible');
var t = new TurtleCar('Brown');
ถ้าสั่งคำสั่งถัดไป ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร? เพราะอะไร (ให้นึกคำตอบก่อนจะทดลอง)
t.run();
ถ้าสั่งคำสั่งถัดไป ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร? เพราะอะไร (ให้นึกคำตอบก่อนจะทดลอง)
t.speed = 0.1; t.run();
node.js: event-driven i/o
- ไว้เป็นครั้งถัด ๆ ไป